รวมทุกเรื่อง “คลื่นความร้อน” ภัยจากวิกฤติภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น
- admin
- 0
เราคงได้เห็นข่าวกันมาบ้างแล้วว่า หลายประเทศทั่วโลกได้เผชิญสถานการณ์คลื่นความร้อน อย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นบังคลาเทศที่ต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนยาวนานที่สุดในรอบ 50 ปี และอินเดียที่ได้รับผลกระทบจนมีผู้เสียชีวิตเกือบร้อยรายในปีนี้
ปัญหาเรื่อง “คลื่นความร้อน” นี้ ดูเหมือนจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัว และกำลังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยในหลายประเทศพุ่งสูงทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าซีกโลกเหนือจะยังไม่เข้าสู่ฤดูร้อนด้วยซ้ำ
วิกฤตคลื่นความร้อนระอุ…หนุนเครื่องปรับอากาศไทย ส่งออกสหรัฐฯ พุ่ง
อินเดียเผชิญคลื่นความร้อน ร้อนทะลุ 40 องศา สั่งปิดรร.
เช่นทางตอนใต้ของสหรัฐฯ อย่างรัฐเท็กซัส ลุยเซียนา และฟลอริดา ต้องเผชิญกับความร้อนสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ทุบสถิติของประเทศที่เคยมีมา
ขณะที่ฝั่งเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนมาอย่างต่อเนื่องยาวสร้าง สร้างสถิติความร้อนใหม่ที่ 44 องศาเซลเซียสในเวียดนาม และ 45 องศาเซลเซียสในประเทศไทย
ส่วนที่สิงคโปร์ก็เผชิญความร้อนทะลุปรอทเช่นกันที่ 37 องศาเซลเซียส ขณะประเทศจีน กรุงปักกิ่ง ก็ทุบสถิติอุณหภูมิสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลที่ 41 องศาเซลเซียส
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศย่อมทำให้อุณหภูมิลักษณะนี้มีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่คลื่นความร้อนระดับเดียวกัน อาจสร้างผลกระทบไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยความชื้น หรือความพร้อมในการรับมือความร้อนแบบสุดขั้วของแต่ละพื้นที่
ดังนั้นแล้วตัวเลขเหล่านี้ต่างจากความร้อนแล้งอย่างไร อะไรที่เลวร้ายกว่ากันเมื่อเทียบกับพื้นที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่าแต่ความชื้นสูงกว่า
คลื่นความร้อน คืออะไร
“คลื่นความร้อน” หรือ “ฮีทเวฟ” (Heat wave) เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ที่อากาศร้อนมากกว่าปกติอย่างรวดเร็วในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดยาวนานเป็นเวลาไม่กี่วันหรือนานหลายสัปดาห์
โดย องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meterorological Organization : WMO) ได้กำหนดนิยามของคลื่นความร้อนว่า เป็นภาวะที่อุณหภูมิสูงสุดประจำวัน เกินค่าอุณหภูมิเฉลี่ยของภพื้นที่นั้นในช่วงเวลาเดียวกันของปี ประมาณ 5 องศาเซลเซียสติดต่อกันเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 วัน
คลื่นความร้อน สามารถเกิดได้ 2 รูปแบบ คือ
1. ) การเกิดคลื่นความร้อนแบบสะสมความร้อน
เกิดในพื้นที่ที่ได้สะสมความร้อนเป็นเวลานาน มีความแห้งแล้ง ไม่มีเมฆและลมสงบนิ่งหลายวัน ทำให้มวลอากาศร้อนไม่เคลื่อนที่ อุณหภูมิอากาศของพื้นที่นั้นจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมวลอากาศร้อนจะมีสะสมจนกลายเป็นคลื่นความร้อนมักเกิดในแอฟริกา ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือ อินเดีย และปากีสถาน
2.) การเกิดคลื่นความร้อนแบบพัดพาความร้อน
เกิดจากลมแรงหอบมวลความร้อนจากทะเลทรายหรือเส้นศูนย์สูตร เข้ามาในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นกว่าหรือเขตหนาว ทำให้อุณหภูมิในพื้นที่นั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะสูงจนกระทั่งลมร้อนนั้นพัดผ่านไปหรือสลายตัวไปเอง มักพบในพื้นที่เขตหนาว เช่น แถบยุโรป
ไทยยังไม่เคยเจอคลื่นความร้อน แต่ในอนาคตอาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน
ส่วนประเทศไทยที่มีสภาพภูมิอากาศร้อนอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ แล้วเราเคยเจอฮีทเวฟหรือไม่ กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า ที่จริงแล้วประเทศไทยยังไม่เคยเจอ เพราะลักษณะภูมิประเทศไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีมวลอากาศร้อนจัด และไม่มีทะเลทราย ประกอบกับการมีพื้นที่อยู่ใกล้ทะเล ยังคงยังมีลมพัดหมุนเวียน จึงได้รับความชื้นเข้ามาปกคลุมพื้นที่ นอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลจากลมต่างๆ ที่พัดปกคลุมพื้นที่ตลอดปีอีก รวมถึงยังได้รับมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนที่แผ่ลงมาปกคลุมอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดฝนตกด้วย ดังนั้นโอกาสที่จะมีความร้อนสะสมในพื้นที่จนเกิดเป็นคลื่นความร้อนจึงเป็นไปได้น้อย
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโลกร้อนของไทยบางท่านให้ความเห็นว่าประเทศไทยอาจมีคลื่นความร้อนเกิดขึ้นได้ในอนาคตเช่นกัน เนื่องจากในปัจจุบันปรากฏการณ์เอลนีโญยังทวีความรุนแรง จึงทำให้ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่แห้งแล้ง และอุณหภูมิอากาศเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะในฤดูร้อน
“ดัชนีความร้อน” วิธีวัดความรุนแรงของฮีทเวฟ
การตรวจสอบคลื่นความร้อน เราสามารถดูได้จากการพยากรณ์แผนที่อากาศหรือข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยาที่พูดถึง “ดัชนีความร้อน” ซึ่งเป็นความร้อนที่สะท้อนว่าร่างกายของคนเรารู้สึกว่าอากาศร้อนแค่ไหน จึงเป็นค่าที่ได้มาจากการนำอุณหภูมิของร่างกายมาคิดรวมกับความชื้นสัมพัทธ์ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าหากความชื้นสัมพัทธ์สูง เหงื่อจะระเหยยาก ทำให้เรารู้สึกว่าร้อนกว่าอุณหภูมิจริงของอากาศนั่นเอง
โดยถ้าหากเราเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงถึง 27 องศาเซลเซียส ในความชื้นสัมพัทธ์ที่ระดับ 40% เป็นต้นไป ตามภาพด้านล่างนี้ เราควรระมัดระวังสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่กลางแจ้ง
คลื่นความร้อนอันตรายถึงชีวิต
โดยปกติแล้วเวลาร่างกายของเราได้รับความร้อน ร่างกายของเราจะพยายามระบายความร้อน บางส่วนจะระบายออกทางอากาศรอบตัว หรือการระบายออกทางการหายใจ แต่ความร้อนส่วนใหญ่จะออกโดยการขับเหงื่อ ซึ่งการระเหยของเหงื่อจะต้องใช้พลังงานจากผิวหนังของเราและอากาศรอบตัวในรูปของพลังงานความร้อนแฝง ส่งผลให้เวลาเราอยู่กลางแจ้งที่มีความชื้นในอากาศสูง จึงทำให้อัตราการระเหยของเหงื่อจากผิวหนังเราลดลง
ดังนั้นในสถานที่ยิ่งร้อน ยิ่งมีความชื้นสูง จึงส่งผลร้ายแรงถึงชีวิตได้ โดยจะมีอันตรายมากกับกลุ่มเสี่ยง มีรายละเอียดดังนี้
- กลุ่มเสี่ยง
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี
- ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด เช่น ออกกำลังกาย ผู้ใช้แรงงาน ก่อสร้าง เกษตรกร
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์
- ผู้มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน
- ผู้สูงอายุ
- ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิต
- อาการ
- รู้สึกหงุดหงิด ตัดสินใจผิดพลาด
- วิงเวียนศีรษะ
- หายใจลำบาก
- เหนื่อยล้า
- ผิวแห้ง ผื่นแดด
- ตะคริวจากความร้อน
- ความดันโลหิตต่ำ
- โรคลมแดด
- ผบกระทบต่อร่างกาย
- ผิวหนังยิ่งถูกแผดเผามากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็วผิวหนัง
- อากาศร้อน มีความเชื่อมโยงกับการทำงานของสมองที่ลดลง เกิดความผิดพลาดในการตัดสินใจ รู้สึกหงุดหงิด และอาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติด้านอารมณ์มากกว่าวันที่อากาศดี
- หากร่างกายร้อนเกินไป การไหลเวียนของเลือดไปยังผิวหนังและการขับเหงื่อจะหยุดลง ในกรณีนี้อุณหภูมิของร่างกายจะพุ่งสูงขึ้นและเซลล์สมองจะได้รับความเสียหายแบบไม่สามารถย้อนกลับได้
- อากาศร้อนส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ ทำให้หายใจลำบากรวมถึงสภาพอากาศที่สูงมักมาพร้อมกับอากาศที่นิ่ง ยิ่งทำให้เราสูดมลพิษที่ลอยนิ่งอยู่ในอากาศไปด้วย
- เมื่อร่างกายร้อนขึ้น หลอดเลือดจะขยายตัว และทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ทำให้อาจรู้สึกวิงเวียนและไม่สบาย เลวร้ายที่สุดคือ เมื่อร่างกายขาดการไหลเวียนของเลือดตามปกติ ลำไส้อาจรั่ว หลอดเลือดอาจเสียหาย ทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อน และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหัวใจวายเพิ่มขึ้นด้วย
- หากร่างกายร้อนมากเกินไป สมองจะสั่งการให้กล้ามเนื้อทำงานช้าลง ส่งผลให้เรารู้สึกเหนื่อล้า รวมถึงยังมีอาการวิงเวียนศีรษะ มองเห็นไม่ชัด กระหายน้ำมาก คลื่นไส้ ใจสั่น และอาการชาด้วย อย่างไรก็ตามอาการอ่อนเพลียนี้อาจรุนแรงขึ้นเป็นโรคลมแดดได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นหากอุณหภูมิร่างกายร้อนถึง 40 องศาเซลเซียส ถือเป็นกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์ อาการต่าง ๆ ได้แก่ ผิวแห้ง ร้อน และจิตผิดปกติ หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดอาการชัก โคม่า และเสียชีวิตได้
- คำแนะนำ
- สวมหมวกที่มีขอบบังแดด ใช้ร่ม หรือแว่นกันแดด
- ดื่มน้ำมากๆ อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ จนรู้สึกกระหายน้ำ ริมฝีปากแห้ง
- หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัด
- ไม่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมน้ำตาลจำนวนมาก
- ไม่ออกกำลังกายหรือทำงานกลางแดด
คลื่นความร้อนทวีความรุนแรง เชื่อมโยงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากขึ้น
การศึกษาพบว่าคลื่นความร้อนในประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และออสเตรเลียมีแนวโน้มจะเกิดรุนแรงยิ่งขึ้น และกินระยะเวลายาวนานมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่มาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากขึ้น ดังนั้นถ้าหากนานาประเทศยังไม่จับมือกันลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก เราอาจต้องเผชิญกับผลกระทบของคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าตัว
โดย เทียนยี ซุน นักวิทยาศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจาก Environmental Defense Fund ระบุว่า เราอาจต้องเจอกับคลื่นความร้อนในแต่ละฤดูประมาณ 34 วัน จากการเพิ่มขึ้นหนึ่งองศาเซลเซียส โดยระยะเวลาจะเพิ่มราว 2 ถึง 10 วันทุกๆ การเพิ่มขึ้นหนึ่งองศาเซลเซียสคำพูดจาก สล็อตออนไลน์
นอกจากนี้ ความร้อนยังเป็น 1 ใน 3 สาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้เกือบแสนคนต่อปี โดยงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Climate Change เปิดเผยเหตุการณ์คลื่นความร้อนในยุโรปเมื่อ 20 ปีก่อนว่า เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรกว่า 70,000 คนเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามแม้ระเทศไทยจะยังไม่เคยมีรายงานว่าเกิดคลื่นความร้อนขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรอดพ้นจากปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้ได้เช่นกัน ถ้าตราบใดที่พวกเรายังไม่รักษ์โลก และยังไม่จริงจังกับการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ขอบคุณข้อมูลจาก : RISC,มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และ กรมควบคุมโรค